|
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นานๆ จะได้มีโอกาสวิจารณ์หนังสือเสียที ประกอบกับผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมากอยู่แล้ว หนังสือธรรมะก็เป็นแนวหนึ่งที่ผมให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ประกอบกับได้มีโอกาสอ่านมาหลากหลายแนว อ่านๆ ไป ก็ผนวกความสงสัยเป็นระยะๆ เพราะอาจารย์แต่ละท่านก็อธิบายไปต่างๆ นาๆ บางท่านก็ว่าอย่างโน้น บางท่านก็ว่าอย่างนี้ ไม่เหมือนกัน แต่พอดีมา...อ่ะเจ๊อะ กับหนังสือที่โดนใจเข้าจริงๆ ซึ่งเป็นหนังสือธรรมะที่มีความร่วมสมัย ไม่ตกยุค โดยผู้เขียนใช้นามปากกาว่า 'ดังตฤณ'
ดังตฤณ เริ่มสนใจศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณอย่างจริงจัง ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๕ ดังตฤณเคยให้สัมภาษณ์ว่า "เป็นเด็กขี้เกียจเรียนอย่างยิ่ง แต่ไม่ถึงกับเกเร จนหนีเรียน เหตุเพราะไม่เห็นความสำคัญของการมีชีวิต จนเกิดเป็นปมในใจ ให้รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับชีวิตตลอดมาว่า ทำไมเราต้องมี ทำไมเราต้องเป็น จึงเริ่มต้นแสวงหา และได้ค้นพบคำตอบที่น่าพอใจที่สุดในชีวิต จาก 'พระไตรปิฎกฉบับประชาชน' ของ อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ จนเกิดความรู้สึกเหมือนได้กินขนมที่ชอบ ไม่รู้เบื่อ"
![]()
ดังตฤณเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า..... "ผมนิยามตัวเองว่า เป็นคนไม่ตกยุค แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนทันสมัย ใช้ชีวิตง่ายๆ ตามความรู้สึกว่าสบายสำหรับตัวเอง ผมเคยเป็นเด็กที่มีความเห็นแก่ตัวสูง กล่าวคือ พออยากเอาประโยชน์ เอาประกัน เอาความอุ่นใจไว้ให้ตัวเอง ก็จะมองหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นประกัน และเป็นความน่าอุ่นใจสูงสุด โดยไม่คำนึงว่าใครจะพูดถึงสิ่งนั้นว่าอย่างไร หรือชักชวนให้เข้าหาสิ่งอื่นดิบดีเพียงไหน ผมเป็นคนเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น แม้ผิวนอกจะดูซื่อๆ เหมือนถูกหลอกง่าย แต่จู่ๆ จะมาบอกว่า ชาติปัจจุบันถูกใครปั้นมาอย่างนี้ หรือเพราะชาติก่อนผมเป็นอย่างนั้น แล้วชาติหน้าจะเป็นอย่างโน้น ผมไม่มีทางด่วนยอมรับอย่างเด็ดขาด ผมอยากรู้ความจริง เกี่ยวกับที่มาที่ไปของตัวเอง เพราะฉะนั้นใครบอกว่ามีวิธีอะไร มีอุบายลัดสั้นแบบไหน ผมจะดั้นด้นไปลองเรียนรู้โดยไม่รังเกียจ เรียนแล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อค่อยว่ากันตามเหตุตามผล มาเริ่มรู้สึกว่าเป็นไปได้ ที่จะสามารถแจ่มแจ้งแทงตลอดเกี่ยวกับตัวเองจริงๆ ก็เมื่อพบคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ประมวลแล้วสรุปได้ประการหนึ่ง คือ ถ้ารู้เรื่องของตัวเองในวินาทีนี้เป็นอย่างดี ก็จะสามารถสืบสาวไปหาอดีตหนหลังได้มากเท่ามาก กับทั้งอาจพยากรณ์ตนเองถูกด้วยว่าอนาคตจะได้ดีหรือตกยากปานใด ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจากความสนใจใคร่รู้ มาจนถึงวันนี้ ที่พอจะได้คำตอบบางส่วนแล้ว ไม่มีแม้แต่วันเดียว ที่ผมนิยามตนเองว่าเป็น 'นักปฏิบัติธรรมภาวนา' นั่นอาจเพราะผมไม่เคยตั้งข้อสังเกตว่า นักปฏิบัติธรรมภาวนาต้องทำหรือไม่ทำอะไรบ้าง ผมยังคงใช้ชีวิตสบายๆ ตามที่รู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมาตลอด แต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นถนัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า...ยิ่งเชื่อเหตุผลของพระพุทธเจ้าเร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็จะได้คำตอบที่ต้องการเป็นสุขตามปรารถนาเร็วขึ้นเท่านั้น" (จากบทความ "เมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้", 'เนชั่น สุดสัปดาห์' ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๖๘๕ วันที่ ๑๘-๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ โดย 'ดังตฤณ') ![]()
![]()
๑. พุทธวิสัย ญาณหยั่งรู้แบบพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ชื่อว่า 'สัพพัญญู' คือรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ๒. ญาณวิสัย ญาณหยั่งรู้อันเกิดจากอำนาจสมาธิ หรือ อภิญญา ๖ ๓. กรรมวิบาก ผลของกรรม ๔. โลกจินตา ความคิดเรื่องโลกและจักรวาล ริชชี่เป็นเด็กหนุ่มผู้มีญาณหยั่งรู้พิเศษเหนือคนปกติทั่วไป ในพุทธศาสนาเรียกว่า อภิญญา ซึ่งอธิบายไว้ว่า อภิญญา คือ ควาามรู้ยิ่ง มี ๖ ประการดังนี้ ๑. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหิน เดินอากาศ เป็นต้น ๒. ทิพโสต หูทิพย์ ได้ยินเสียงที่มนุษย์ปกติไม่อาจได้ยิน ๓. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้วาระจิตผู้อื่นได้ ๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ ๕. ทิพจักขุ มีตาทิพย์ มองเห็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดามิอาจเห็นได้ ๖. อาสวักขญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป (ข้อสุดท้ายนี้เป็นข้อเดียว ที่ยังไม่มีการกล่าวถึงในหนังสือริชชี่) แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสรรเสริญ ญาณวิเศษเหล่านี้ (ยกเว้นข้อ ๖) เพราะยังไม่เป็นเหตุแห่งการพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง หากใช้ไปในทางที่ผิดย่อมก่อเวร ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกระแสของ 'นิพพาน' ได้ แต่ตามปกติวิสัยของผู้ทรงฌาณ ที่ปฏิบัติถูกตรง (แม้ในลัทธิอื่น หรือศาสนาอื่น) ก็สามารถมีญาณหยั่งรู้ถึงขั้น อภิญญา ได้ ถึงแม้มิคิดอยากได้ แต่ก็จะปรากฏขึ้นมาเอง ริชชี่เป็นเด็กที่ต่างจาก เด็กทั่วไป คือไม่คลานแต่เดินได้เลย ตั้งแต่อายุได้ ๑ ขวบ และกินแต่นมอย่างเดียวไม่ยอมกินข้าว จนอายุได้ ๘ ขวบ ถึงเริ่มกินข้าวเป็นครั้งแรก และรู้สึกตัวว่ามีญาณวิเศษเมื่ออายุ ๑๓ ปี หลังจากเหตุการณ์ฟ้าผ่าที่ยอดตาลอายุกว่า ๑๐๐ ปี ที่ปลูกไว้หลังบ้าน จากนั้นก็อ่านได้สนุกครับ เพราะมีแต่เรื่องอัศจรรย์ เต็มไปด้วยอภินิหาร เช่นมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เห็นวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวร สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ซึ่งริชชี่บอกว่า ตนเองคือองค์นารายณ์ที่แบ่งภาคจากสวรรค์มาเกิดยังโลกมนุษย์ เพื่อสร้างบารมี (ดังตฤณ กล่าวว่า เทวดา นั้นเป็น 'นันทิ' คือผุดขึ้นเพื่อเสวยสุขเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถประกอบกรรมได้ หากต้องการสร้างกุศลกรรม จึงต้องจุติ (ตาย) เพื่อมาเกิดในโลกมนุษย์เท่านั้น) ผมอ่านแล้วยังขนลุก หากเป็นสมัยก่อน คงคิดว่าเจ้าหนุ่มริชชี่นี่ คงปั้นน้ำเป็นตัวแหงมๆ แต่เรื่องของริชชี่ สำหรับผมแล้ว ก็เหมือนได้กุญแจดอกสำคัญ ที่ทำให้ผมหมดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง ชาติ-ภพ หรือ สังสารวัฏ ที่ค้างคาใจมาเนิ่นนานอย่างสิ้นเชิง และทำให้การกลับไปอ่านหนังสือของ ดังตฤณ ซ้ำในครั้งใหม่นี้ มีความแตกต่างจากเดิมอย่างยิ่ง ทำให้ผมเข้าใจว่าการรักษาศีล มีเป้าหมายเพื่อ 'ยุติการก่อ อกุศลกรรมทั้งมวล' เพราะโลกใบนี้หมุนไปตามอำนาจของกระแสจิต ที่เกิดขึ้นจากแรงกรรม เพราะ 'จิตนั้นเป็นนาย กายเป็นบ่าว' เหมือนที่ ดังตฤณ กล่าวไว้ว่า โลกเปรียบเหมือนกับภาชนะ ที่กำเนิดมาเพื่อรองรับจิตวิญญาณของสัตว์ ที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ด้วยความไม่รู้ และพระพุทธองค์ยังทรงชี้ให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีตัวตนอย่างแท้จริง เป็น อนัตตา ทั้งสิ้น ถึงวันนี้ ผมจะยังไม่สามารถ 'รู้ตามจริง' ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนได้ แต่อย่างไรผมก็เชื่อหรือศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจแล้วว่า 'สมาธิจิตนั้นมีอำนาจทรงพลัง' สามารถฝึกตามวิชา 'รู้ตามจริง' เพื่อให้ถึงขั้นที่เรียกว่า อภิญญา อย่างที่กล่าวมาได้ และหากแน่วแน่จริงๆ ก็สามารถฝึกเพื่อบรรลุถึงขั้นที่เหนือกว่า คือ นิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา เพื่อพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดตลอดกาล จิด-ตระ-ธานี
|
|
![]() |
---|